“กลิ่นน้องสาว” สามารถเกิดได้จากหลายๆสาเหตุ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดกลิ่นเหม็น โดยสามารถจำแนกสาเหตุของการเกิดกลิ่นเหล่านี้ได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

• เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  ถือเป็นสาเหตุหลักๆที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆในผู้หญิง เกิดจากปริมาณแบคทีเรียในช่องคลอดไม่สมดุล บางคนจะมีอาการคันและมีตกขาวควบคู่กัน การติดเชื้อแบคทีเรียสามารถเกิดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อน
• ติดเชื้อจากการมีเซ็กส์
  จะมีอาการคล้ายๆกับคนที่ติดเชื้อแบคทีเรีย คือจะมีอาการคันและตกขาวควบคู่กัน แต่อาจมีลักษณะอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีเลือดออกขณะที่กำลังมีเซ็กส์หรือบางคนอาจมีลักษณะผิดปกติที่บริเวณน้องสาว
• ทำความสะอาดน้องสาวบ่อยเกินไป
  ส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงที่มีประจำเดือน เพราะบริเวณน้องสาวจะมีความอับชื้นสูง ทำให้มีกลิ่น แต่สามารถป้องกันได้โดยเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 2-4 ชั่วโมง ส่วนการดูแลทำความสะอาดควรใช้วิธีอาบน้ำแบบเปิดน้ำไหลผ่านแทนการแช่น้ำและไม่ควรสวนล้างทางช่องคลอด
• กินอาหารที่มีกลิ่นแรงหรือรสจัดจ้าน
  เมื่อกินอาหารที่มีกลิ่นแรงเข้าไป เช่น กะปิ ปลาร้า หรืออาหารจำพวกของหมักของดอง ร่างกายจะพยายามปรับสมดุลเคมี ทำให้มีการขับกลิ่นคาวออกมาและเกิดการอับชื้นมากกว่าปกติ ส่งผลให้น้องสาวมีกลิ่นที่แรงขึ้น
• ใส่กางเกงรัดแน่นเกินไป
  การใส่กางเกงที่รัดแน่นเกินไป ไม่มีช่องว่างให้อากาศได้ระบาย จะทำให้เกิดความชื้นสะสมอยู่ภายใน ส่งผลให้เกิดเหงื่อหรือเชื้อแบคทีเรียเติบโตได้ดี จนทำให้มีกลิ่นอับที่น้องสาวได้
• ฮอร์โมนไม่สมดุล
  ส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งอาจทำให้มีกลิ่นน้องสาวที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติเนื่องจากฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่างที่ตั้งครรภ์

โบท็อกซ์มีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการทำงานของ “ต่อมเหงื่อ” ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นอับชื้นของน้องสาว แต่ยังมีหลายคนที่เข้าใจผิดว่า “ถ้าน้องสาวมีกลิ่น ฉีดโบท็อกซ์แล้วจะหาย” ที่จริงแล้วกลิ่นเหม็นของน้องสาวไม่ได้เกิดจากความอับชื้นเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อจากการมีเซ็กส์ การอับเสบภายในช่องคลอด รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆตามที่ได้กล่าวมา

ดังนั้น การฉีดโบท็อกซ์ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ กลิ่นจะยังคงอยู่จนกว่าปัญหาสุขภาพบริเวณช่องคลอดจะได้รับการแก้ไขให้หายดีก่อน

สรุปก็คือ การฉีดโบท็อกซ์น้องสาว จะเหมาะกับคนที่ดูแลเรื่องสุขอนามัยบริเวณน้องสาวเป็นอย่างดี แต่สำหรับใครที่มีอาการช่องคลอดอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราจนเกิดกลิ่นเหม็น ในส่วนนี้ โบท็อกซ์จะยังไม่สามารถช่วยให้กลิ่นหายไปได้ และที่สำคัญการฉีดโบท็อกซ์น้องสาวนั้น “ไม่ได้ช่วยให้น้องสาวมีกลิ่นหอมขึ้น แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือบริเวณต่อมเหงื่อ” นั่นเอง

การฉีดโบท็อกซ์น้องสาว โดยทั่วไปจะฉีดบริเวณที่เรียกว่า “เนินหัวหน่าว Mons pubis” และ “แคมใหญ่ Labia majora” เพราะเป็นส่วนที่มีต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน และต่อมเหงื่อพิเศษที่ทำหน้าที่ขับเหงื่อ ซึ่งมักเปลี่ยนแปลงโดยเชื้อแบคทีเรีย ทำให้มีกลิ่นต่างจากส่วนอื่นๆ

การฉีดโบท็อกซ์น้องสาว ควรดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น ซึ่งควรจะเป็นสูตินรีแพทย์ แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์พลาสติกที่มีทักษะในด้านกายวิภาคศาสตร์ของระบบสืบพันธ์ุผู้หญิงโดยเฉพาะ

การฉีดโบท็อกซ์บริเวณน้องสาวจะ “ไม่เจ็บ” เพราะแพทย์จะฉีดยาชาให้ผู้เข้ารับบริการก่อนที่จะเริ่มทำการฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งยาชาจะไปช่วยระงับความเจ็บปวดได้ โดยจะรู้สึกเหมือนมดกัดแสบๆ คันๆ เท่านั้น

• ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อบอกถึงความต้องการ วิธีการรักษาที่เหมาะสมและผลลัพธ์ที่จะได้
• แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพ อาการแพ้และยาประจำตัวที่ต้องใช้ก่อนเข้ารับบริการ
• เเพทย์ตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อเป็นการเช็คสุขภาพก่อนเข้ารับบริการ
• งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ในช่วง 1-2 วันก่อนเข้ารับบริการ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
• หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA เป็นเวลา 1-2 วันก่อนเข้ารับบริการ
• งดใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS คือ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินอี น้ำมันปลา เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อลดปัญหาการเกิดรอยฟกช้ำ
• ควรรักษาสุขอนามัยให้สะอาดก่อนการนัดหมาย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา

• แพทย์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราต่างๆ
• บางเคสแพทย์อาจมีการทาครีมยาชาเฉพาะที่ เพื่อทำให้บริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์มีความชาและเพิ่มความสบายตัวให้แก่ผู้เข้ารับบริการ
• แพทย์ทำการระบุตำแหน่งที่จะฉีดโบท็อกซ์เข้าไป ซึ่งจะอยู่ในบริเวณเนินหัวหน่าว และบริเวณแคมใหญ่
• แพทย์ทำการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในกล้ามเนื้อเป้าหมายหรือต่อมเหงื่อโดยใช้เข็มขนาดเล็ก ซึ่งปริมาณของโบท็อกซ์ที่ใช้จะพิจารณาไปตามเคสและความรุนแรงของภาวะเหงื่อออก
• หลังฉีดเสร็จ ผู้เข้ารับบริการจะต้องนอนดูอาการอย่างน้อย 30-45 นาที หากไม่มีอาการแพ้หรือภาวะแทรกซ้อน ก็สามารถกลับบ้านได้เลย

• งดสัมผัสหรือถูบริเวณน้องสาวโดยเฉพาะเนินหัวหน่าวและแคมใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
• หลีกเลี่ยงการนอนราบหรือก้มตัวนานหลายชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้โบท็อกซ์ไหลกระจายไปยังส่วนอื่นๆในร่างกายบริเวณใกล้เคียง
• งดการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมากๆอย่างน้อย 1-3 วันหลังการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการช้ำและบวม
• หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน การอบซาวน่าหรือกิจกรรมอื่นๆที่เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายใน ช่วง 14 วันหลังการฉีด เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของโบท็อกซ์ได้
• หากต้องการทำความสะอาดให้ใช้สบู่ที่ปราศจากน้ำหอม และหลีกเลี่ยงการขัดหรือถูอย่างรุนแรง
• ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ แนะนำให้ผู้เข้ารับบริการอดทนรอและทำตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
• มาตามนัดหมายของแพทย์เพื่อติดตามอาการและผลลัพธ์หลังฉีด

โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้งดการมีเซ็กส์ในช่วง 3-5 วันแรก หลังจากที่ได้ฉีดโบท็อกซ์ไป เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆและเพื่อให้ตัวโบท็อกซ์ทำงานได้เต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยระยะเวลาของการงดการมีเซ็กส์นั้นอาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์

ระยะเวลาที่โบท็อกซ์เริ่มเห็นผลจะอยู่ในช่วง 4 เดือน และจะเห็นผลอย่างชัดเจนในช่วง 6 เดือนหลังฉีด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์และคุณภาพของโบท็อกซ์ที่ใช้ รวมถึงสภาพร่างกายของผู้เข้ารับบริการในแต่ละคน ซึ่งในบางเคสอาจจะต้องกลับมาฉีดโบท็อกซ์ซ้ำเพื่อคงที่ผลลัพธ์ให้ได้นานที่สุด

“ฉีดโบท็อกซ์น้องสาว” คือ การใช้สารโบท็อกซ์ที่มีส่วนช่วยกระชับกล้ามเนื้อบริเวณ จุดซ่อนเร้น เหมาะกับผู้หญิงที่ต้องการให้น้องสาวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง ทรงสวย ไร้เหงื่อ และลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ทำให้รู้สึกสะอาดและเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง

แต่การฉีดโบท็อกซ์ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะบริเวณนี้เป็นจุดบอบบางมาก ก่อนตัดสินใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้การดูแลสุขอนามัยส่วนตัวก็ยังสำคัญ เช่น การทำความสะอาดอย่างเหมาะสม และการใส่ชุดชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อให้มีน้องสาวที่สวยใส ไร้กลิ่นมากวนใจอีกด้วย